วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขยะอวกาศของจีนเคลื่อนผ่านกระสวยอวกาศ

ขยะอวกาศของจีนเคลื่อนผ่านกระสวยอวกาศ


นาซารายงานว่าชิ้นส่วนขยะอวกาศที่เกิดจากการทดสอบยิงดาวเทียมของจีนเมื่อปี 2007 ได้เคลื่อนผ่านกระสวยอวกาศแอตแลนติสที่กำลังปฏิบัติภารกิจซ่อมกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลในอวกาศ ทั้งนี้ชิ้นส่วนขยะอวกาศดังกล่าวไม่ได้เคลื่อนเข้าใกล้กระสวยอวกาศมากจนต้องบังคับให้กระสวยอวกาศเคลื่อนย้ายวงโคจร

ขยะอวกาศชิ้นดังกล่าวมีขนาดยาว 10 เซนติเมตร จากการติดตามโดยแพนตากอน ขยะอวกาศชิ้นดังกล่าวเคลื่อนผ่านกระสวยอวกาศในระยะห่าง 3 กิโลเมตร เมื่อเวลา 00.30 นาฬิกาตามเวลามาตรฐานกรีนิช ของวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2009

ขยะอวกาศในวงโคจรใกล้โลก
ที่มา http://www.renegadebs.com/miscjunk/Space-Debris-2009.jpg
ทั้งนี้นักบินอวกาศทั้ง 7 คนที่เดินทางไปกับกระสวยอวกาศได้รับการแจ้งเตือนจากสถานีภาคพื้นดินให้เตรียมพร้อมสำหรับการหลบหลีกดังกล่าว แต่ท้ายที่สุดไม่ต้องดำเนินการใดๆ เนื่องจากขยะอวกาศเคลื่อนผ่านในระยะห่างที่ยังไม่เป็นอันตราย
นักบินอวกาศได้นำกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลมาไว้ในคาร์โกเบย์ของกระสวยอวกาศเมื่อวันพุธที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อทำการซ่อมกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลที่มีอายุ 19 ปีครั้งใหญ่

นักบินอวกาศกำลังปฏิบัติภารกิจซ่อมกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิล

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 สิ่งประดิษฐ์ไฮเทคที่ไม่สมควรคิดค้น


10 สิ่งประดิษฐ์ไฮเทคที่ไม่สมควรคิดค้น

10Cryogenic freezing
เขียน ไปนานแล้วแต่ก็อยากจะเขียนอีก การแช่แข็งยังเป็นเทคโนโลยี Cryonics ในฝันสำหรับคนที่เป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย แต่เขาก็มีโอกาสเป็นผู้โชคดีในการเข้าร่วมโครงการแช่แข็งในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าศูนย์องศา เพื่อรักษาสภาพร่างกายเอาไว้ (และเขาอ้างว่าสามารถรักษา ความทรงจำและบุคลิกภาพในสมองไว้ได้ด้วย) และเก็บรักษาไปเรื่อยๆ ด้วยความหวังที่จะรักษาโรคในอนาคตที่ทาง การแพทย์ก้าวหน้า เทคโนโลยี มีอยู่จริงใน หน่วยงานชื่อ Alcor Life Extension Foundation หน่วยงานนี้เป็นองค์กรที่ไม่ได้แสวงหากำไร และมีเป้าหมายอยู่กับการเก็บอวัยวะบางส่วน(ศีรษะ) ไว้ในภาชนะที่ลดอุณหภูมิมากๆ บริการนี้มีไว้สำหรับผู้เป็นสมาชิกเท่านั้น ส่วนเหตุผลของการเก็บรักษาศีรษะของผู้ตายไว้ก็เพราะปัจจุบันเครื่องมือที่ นี่ยังไม่สามารถเก็บรักษาร่างกายทั้งร่างของมนุษย์ไว้ได้ดีพอ เนื่องจากร่างกายของเรามีความหนาแน่นของอวัยวะแต่ละส่วนไม่เหมือนกัน อุณหภูมิที่จะเก็บรักษาจึงแตกต่างกันมากด้วย สมองจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของคนๆ หนึ่งที่ควรเก็บรักษาไว้ เพี่อรอคอยเทคโนโลยีในอนาคตที่จะสามารถทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ทำไมมันไม่สมควรเกิดขึ้น?แต่อย่าง ไรมันก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่หลายๆเรื่อง เช่นเทคโนโลยีนั้นไม่สามารถอธิบายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันสามารถทำได้หรือ เปล่า สามารถปลุกคนที่แช่แข็งมาได้หรือเปล่า แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ทดลองกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช้คน เช่นทดลองในกบ สุนัข นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องกฎหมายที่ยังถกเถียงหลายรอบว่าถ้าเกิดคนที่ตาย แล้วทางกฎหมายคืนชีพในอนาคตละสถานะบุคคลจะเป็นเช่นไร
 
 
 
9Artificial Intelligence
ปัญญา ประดิษฐ์ ก็ยังเป็นความฝันของคนธรรมดาและชาวโอตากุอย่างเราๆ ที่อยากเห็นหุ่นยนต์ฉลาดเท่ามนุษย์และรับใช้เราเหมือนทาสผู้ซื่อสัตย์โดยไม่ ปริปากบ่น ในภาพยนตร์และนิยายที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์ไซไฟ ค่อนข้างแสดงออกอย่างน่ารื่นรมณ์เสียจริง ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์เป็น สิ่งไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ เอไอ (AI) หมายถึงความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาหนึ่งในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมเป็นหลัก แต่ยังรวมถึงศาตร์ในด้านอื่นๆอย่างจิตวิทยา ปรัชญา หรือชีววิทยา ซึ่งสาขาปัญญาประดิษฐ์เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการการคิด การกระทำ การให้เหตุผล การปรับตัว หรือการอนุมาน และการทำงานของสมองของเครื่องจักร ทำไมมันไม่สมควรเกิด ขึ้น? สิ่ง ที่ถกเถียงคือ เราสมควรพัฒนาปัญญาประดิษฐ์โยงใช้อารมณ์หรือความรู้สึกของมนุษย์หรือไม่ หากทำแล้วจะส่งผลให้หุ่นยนต์เกิดความ คิดที่จะเป็นศัตรูกับมนุษย์หรือเปล่า ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ยังพยายามศึกษา และพัฒนาหุ่นยนต์กันอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นผลให้หุ่นยนต์มีการพัฒนาที่ดี ขึ้นเป็นลำดับ และในอนาคต หากวันใดวันหนึ่งมนุษย์สามารถ พัฒนาหุ่นยนต์ ให้มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ได้ละก็จะเกิดปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน และ ที่น่าวิตกคือมนุษย์ได้พัฒนาอาวุธในการสงคราม ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ซึ่งอาวุธเหล่านี้ ก็เป็นส่วนประกอบของหุ่นยนต์เช่นกัน…และถ้าวันใดวัน หนึ่งมันมีความคิดที่จะตอบสนองด้วยตนเอง แน่นอนอะไรมันจะเกิดขึ้น คงไม่ต้องอธิบายยาวละ
 
 
 
8Prediction of the future
เป็น การดีหรือไม่หากเรารู้อนาคตเพื่อ ป้องกันภัยพิบัติต่างๆ เพียงแค่คุณดูอยู่ในหน้าจอ คุณก็เห็นอนาคตทำนายต่างๆ ที่เราสามารถป้องกันภัยพิบัติต่างๆ นาๆ ได้ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหว, น้ำท่วม, การก่อการร้าย โลกระเบิด และนี้จะเป็นเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบหรือไม่? โอกาสที่มี เทคโนโลยีเหล่านี้มีสูงครับ เพราะปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์อากาศ, การเกิดซึนามิ และวงการธุรกิจ ฯลฯ ทำไมมันไม่สมควรเกิด ขึ้น? สมมุติว่าเราดูหน้าจอ สมมุติหน้าจอบอกว่าจีนจะบุกอเมริกา เพื่อป้องกันเหตุเกิดขึ้นอเมริกาสั่งประชาชนหยุดงานและเริ่มต้นทำสงครามกับ จีนโดยไม่ใช้วิธีการทูต เปิดตัวด้วยขีปนาวุธต่างๆ มันคงสนุกพิลึกละ อีกทั้งเกิดมีการทำนายหวยล็อตเตอรี่, ทำนายดวงซะตา เรื่องวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นไม่รู้จบ
 
 
 
7Teleportation Device
มนุษย์ รู้จักล้อมาเป็นเวลากว่า 3000 ปี มีนักประดิษฐ์มากมายสร้าง เครื่องจักรกลที่ติดล้อ สามารถ เคลื่อนย้ายคนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว เช่น รถม้า จักรยาน และรถยนต์เป็นต้น ต่อมาพัฒนาเป็นเครื่องจักรที่ไม่ต้อง ใช้ล้อ แต่สามารถเคลื่อน ที่ได้อย่างรวดเร็วกว่าเช่น เครื่องบินและจรวด อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้ การเคลื่อนที่แบบดังที่กล่าวไปแล้ว เป็นสิ่งล้าสมัย เมื่อมาเทียบกับสิ่งที่จะเขียนถึงนี้ ยกตัวอย่างถ้าคุณอยู่ที่บ้านและต้อง การไปโลตัส หรือบิ๊กซี บนดวงจันทร์ เพียงแต่เดินเข้าไปในห้องเล็กๆที่สร้างหลบมุมไว้ที่บ้าน และกดปุ่ม ร่างกายของคุณจะหายไป และไปปรากฎอยู่ที่ใหม่ ด้วยความเร็วที่เทียบได้กับความเร็ว แสง ฝรั่งเรียกว่า วิธีเทเลพอเทชั่น (Teleportation) แนวคิด เทเลพอเทชั่นเริ่มตั้งแต่ปี ปี ค.ศ. 1966 -69 ปรากฎอยู่ในภาพยนต์วิทยาศาสตร์เรื่อง สตาร์เทค (Star-Trek) ประพันธ์โดยนาย Gene Roddenberr เราจะได้เห็นกัปตัน Kirk ที่เป็นพระเอกของเรื่อง เดินเข้าไปในห้องแก้ว และ กดปุ่ม เขาจะหายไป และ ปรากฎอยู่ ณ ดาวแห่งหนึ่งที่ไกลจากเดิมนับพันปีแสง จากนั้นเป็นต้นมาก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามที่จะค้นหา ใน ปี 1993 แนวคิดของเทเลพอเทชั่น เข้าใกล้ความเป็นจริงยิ่งขึ้น เมื่อนักฟิสิกส์ คือ นาย Charles Bennett แถลงข่าวพร้อมกับทีมงานวิจัยของ ไอบีเอ็ม ยืนยันว่า ควอนตัมเทเลพอเทชั่น(Quantum Teleportation) กำลังเป็นจริงโดยพวกเขาทดลองเคลื่อนย้ายโฟตอน สำเร็จ หลักการ ทำงานคือคล้ายๆ กับเครื่องส่งแฟกซ์ ทำให้หน้าที่ทำให้มวลที่จุดเริ่มต้นแตกสลายกลายเป็นอะตอมและพลังงานโดยเก็บ ข้อมูลทุกๆตำแหน่งของอะตอม และส่งผ่าน ทางสายไฟ สายไฟเบอร์ออฟติก หรือไม่ต้องใช้สาย เป็น ต้น เมื่อถึงตำแหน่งที่ ต้องการ อะตอมก็จะจัด เรียงและก่อตัวขึ้น เหมือนกับต้นทางทุกประการ แม้จะติดที่กฎพื้นฐาน ของฟิสิกส์ แต่กระนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ยังเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะสามารถเคลื่อนย้าย มนุษย์โดยวิธีเทเลพอเทชั่นได้ หาก ความฝันนี้เป็นจริงเราก็สามารถเดินทางไปทั่วโลกภายในหนึ่งวันได้โดยไม่ง้อ เครื่องบิน เราสามารถไปช็อปปิ้งที่อียิปต์ กินอาหารที่อิตาลี เข้าห้องน้ำที่จีน และไปร้องคาราโอเกะที่ญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจเลยแหละ ทำไม มันไม่สมควรเกิดขึ้น? มัน คงเป็นสวรรค์และสนุกพิลึก และเมื่อผู้ก่อการร้ายสามารถใช้เทคโนโลยีนี้สร้างความวุ่นวายแก่ทั่วโลกใน เวลาแค่หนึ่งวัน และเทคโลยีนี้ใช่ว่าจะดีเสมอไปเมื่อคิดถึงความปลอดภัยที่จะเกิดขึ้น เมื่ออะตอมจัดเรียงผิดพลาด คุณเคยทำสำเนาเองหรือไม่ คุณคงรู้ดีว่าบางครั้งสำเนาก็มีข้อผิดพลาด เช่นกระดาษติด, กระดาษดำ, กระดาษยับ, ตัวอักษรซ้อน แล้วเครื่องเทเลฯ มีหรือจะไม่ผิดพลาดเหมือนเครื่องถ่ายเอกสารบ้าง ผมของคุณ, เล็บมือ, หัวใจคุณ แน่ใจหรือว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงหลังคุณใช้เครื่องนี้
 
 
 
6Nanobots
Nanobots นาโนบอดี้ เป็นหุ่นยนต์ขนาดเล็กจิ๋วสุดๆๆ ที่นักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่หลายอย่างตั้งแต่การช่วย สังเคราะห์โปรตีนด้วยกันเอง ควบคุมให้ปฏิกริยาต่างๆ เกิดขึ้นได้ เช่นการเผาผลาญอาหาร การกำจัดสิ่งแปลกปลอม เป็นต้น ควบคุมการเข้าออกของสารเคมีต่างๆ ผ่านเซลล์ ไปจนถึงการทำหน้าที่เป็นโครงสร้างให้กับอวัยวะ หรือทำให้สัตว์เคลื่อนไหวได้ ฯลฯ ส่งผลให้มนุษย์เราไม่มีโรคภัยอีกต่อไป มะเร็งเป็นโรคที่สูญพันธุ์ ร่างกายแข็งแรงตลอดกาล นอกจากนาโนบอดี้ มันมีคุณสมบัติเหลือเชื่ออีก คือมันสามารถวิวัฒนาการไปจนมีความฉลาดพอๆ กับมนุษย์ได้,ความ สามารถในการประกอบตัวเอง และมันยังสามารถขยายพันธ์ได้ด้วย (Self Replication) แม้ นาโนบอดี้ จะเป็นของใหม่ แต่ตามที่ศึกษา ภายในระยะเวลา 10 ปี เราอาจมี นาโนบอดี้ที่สามารถเลื้อยไปในร่างกายของคุณทันทีโดยไม่ต้องพึ่งหมอ อีก ต่อไป ทำไมมันไม่สมควรเกิดขึ้น? นา โนบอดี้ อาจจะนำไปสู่หายนะที่คาดไม่ถึง ถ้าสมมุตินาโนบอดีที่ว่าเกิดทำสำเร็จ จนมันสามารถอยู่อาศัยบนร่างเราเรียบร้อย และมันมีความฉลาดพอๆ กับมนุษย์ และถ้าเกิดเราตายลงแต่เจ้าเทคโนโลยีบอดียังโปรแกรมทำงานอยู่โดยไม่ได้ตาย พร้อมกับเราละอะไรจะเกิดขึ้น? แม้สมองของเราจะตายแล้วเจ้านาโนนี้ก็จะทำงานและมันจะทำการสร้าง รูปแบบระบบ ประสาท ขึ้นมาใหม่ บังคับกล้ามเนื้อในร่างกายของเรา แม้ร่างกายจะผุเน่าและสมองตายแล้ว แต่ซอมบี้ที่นาโนบอดีบงการอยู่ก็ยังสามารถแคลื่อนไหวได้ตามที่มันนึก และ เมื่อนาโนนี้ถูกโปรแกรมการเพิ่มจำนวนตัวเอง (self-replicate) มันจึงต้องการเพิ่มจำนวนและหาร่างใหม่ดังนั้นมันเลยบงการร่างนั้น กัดเหยื่อที่แข็งแรง เพื่อให้นาโนบอดี้ เข้าไปติดตั้งในสมองเจ้าของบ้านใหม่ของมัน และมันสามารถปิดการทำงานของสมองเหยื่อรายใหม่ได้ และเมื่อสมองหยุดทำงานมันก็เปลี่ยนระบบประสาทใหม่ ที่นี้เราก็จะได้สมาชิกใหม่ ในกองทัพไม่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันตายได้แล้ว
 
 
 
5Weather Control
Weather Control ยินดีต้อนรับสู่อนาคต เมื่อความหิวโหยทั่วโลกจะได้รับความแก้ไข ชีวิตสังคมปกติสงบสุขเมื่อไม่มีพายุเฮอริเคน หรือน้ำท่วม เมื่อมนุษย์สามารถควบคุมสภาพอากาศในระบบนิเวศที่ละเอียดอ่อนได้อย่างง่ายดาย จนเรียกได้ว่ามนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ เทคโนโลยี นี้มีอยู่จริง ครับ สหรัฐอเมริกาได้มีโครงการควบคุมสภาพอากาศนี้ว่า โครงการฮาร์พ Haarp HAARP(High Frequency Active Auroral Research Project) เป็นคือศูนย์วิจัยไอโอโนสแฟร์ (ionosphere คือ ชั้นบรรยากาศช่วงที่อยู่ห่างระหว่าง 80-1000 กิโลเมตร)ในมลรัฐอะแลสกา มีจุดมุ่งหมายสำรวจทรัพยากรชั้นบรรยากาศโลก เพื่อพัฒนาระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม โดยโครงการนี้สามารถ สร้างและควบคุมสภาพภูมิอากาศได้โดยการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ขึ้นไป ที่ชั้นบรรยากาศไอโอโน สเฟียร์ แล้วให้สะท้อนกลับมายังพื้นผิวโลก ไปยังเป้าหมายที่ รวมไปถึงส่งพลังงานนั้นลงไปสู่ชั้นหินใต้ดินเพื่อก่อให้เกิดแรง สั่นสะเทือนหรือแผ่นดินไหวนั่นเอง ทำไมมันไม่สมควร เกิดขึ้น? ต่าง ประเทศออกมาด่าครับว่าโครงการนี้เป็นการสร้างอาวุธที่จะสร้างหายนะ แก่ มนุษยชาติ เพราะมันทำให้สภาพภูมิอากาศแปรปรวน เมื่อไม่นานมานี้มีคนกล่าวหาสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นต้นตอของหายนะในเฮติ จากการทดสอบอาวุธ อันก่อให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่คร่าชีวิตพลเรือนนับแสนคน ใน ปี 1997 วิลเลียม โคเฮน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯขณะนั้น แสดงความกังวลต่อเครื่อง HAARP นี้ ในกรณีที่มันสามารถก่อความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ จุดชนวนแผ่นดินไหวและควบคุมการปะทุของภูเขาไฟด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอีกทั้ง ยังสามารถประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีร่วมกับดาวเทียม และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อควบคุมกระแสลมกรด ซึ่งเป็นกุญแจของธรรมชาติที่จะนำพากลุ่มเมฆ น้ำฝน ความร้อน ความแห้งแล้งและความหนาวเย็น และอื่นๆ อีกมาก ปัจจุบัน โครงการฮาร์พกำลังอยู่ในชั้นตอนสุดท้าย ของการขยายกำลังส่ง และคาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ให้ใช้การได้เต็มที่ในราวปี 2549 (ปัจจุบัน แน่นอนคงใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว) แม้ว่ามีหลายประเทศออกมากดดันให้สหรัฐยกเลิกโครงการนี้แล้วก็ตาม
 
 
 
4Genetic Engineering
Genetic Engineering จะ เกิดอะไรขึ้นเมื่อพันธุกรรมสามารถนำไปใช้โดยไม่ ต้องสนใจศีลธรรม เพื่อสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา โดยไม่มีความเสี่ยงโรคภัยหรือคงความผิดปกติหลังคลอด โดยไม่ต้องใช้นาโนบอดี้ยุ่งยากเหล่านั้น เหมือนในหนังเรื่อง Gattaca(1997) นอกจากนั้นพันธุกรรมยังช่วยในการแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารและการสร้างสิ่งมี ชีวิตในฝันต่างๆ นาๆ เราเรียกวิชาเหล่านี้ว่าพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) หรือความรู้ที่ได้จากการศึกษาชีววิทยาระดับโมเลกุล (molecular biology) จนทำให้สามารถประยุกต์ใช้ในการปรับเปลี่ยน เคลื่อนย้าย หรือตรวจสอบสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) และผลิตภัณฑ์ของสารพันธุกรรม (อาร์เอ็นเอและโปรตีน) การประยุกต์ใช้พันธุวิศวกรรมแบบหนึ่งที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางได้แก่ การเคลื่อนย้ายยีน (transgenesis)จากสิ่งมีชีวิตสปีชีส์หนึ่งไปสู่สิ่งมีชีวิตอื่นในสปีชีส์เดียว กันหรือสปีชีส์อื่น ซึ่งทำให้เกิดการถ่ายทอดยีนและลักษณะที่ยีนนั้นควบคุมอยู่ ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่ ซึ่งอาจไม่เคยปรากฏในธรรมชาติมาก่อน ตัวอย่างเช่น การใส่ยีนสร้างฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปในแบคทีเรียหรือยีสต์ เพื่อให้ผลิตสารดังกล่าว ซึ่งสามารถนำมาสกัดบริสุทธิ์เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นต้น ทำไมมันไม่สมควรเกิด ขึ้น? ความจริงเทคโนโลยีดี แต่หากนำไปใช้โดยไม่คำนึงศีลธรรมและผลเสียที่ตามมา เป็นเรื่องยุ่งแน่ การดัดแปลงมนุษย์โดยพันธุกรรมอาจนำไปสู่การทดลองในมนุษย์ การสร้างสัตว์ ประหลาดที่มีพลังวิเศษต่างๆ ของสัตว์ หรือหากนำไปใช้กับอาหาร ของมนุษย์ จะเกิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม หรือไม่
 
 
 
3Holodecks
Holodeck หลังจากที่เครียดจากที่ ทำงาน เหนื่อยหน่ายจากโลกภายนอก คุณเบื่อภรรยา เส็งเคร็งกับเด็กเหลือขอทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นลูกของคุณ คุณอยากมีโลกส่วน ตัวสบายๆ อยู่กับบ้าน เราขอแนะนำเทคโนยีโลกสามมิติ ที่คุณสามารถพักผ่อน ในทุ่งหญ้าแอฟริกาทั้งๆ ที่อยู่ในบ้าน คุณสามารถไปที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเดินอะไรเลย นอกจากนี้คุณยังสามารถเล่นเกมส์เสมือนว่าเราไปอยู่ในโลกนี้จริงๆ Holodecks เป็นโลกจำลองเสมือนจริง มีแนวคิดจากนิยายสตาร์เกท เป็นโลกจำลองที่สร้างบนพื้นฐานของเทคโนโลยี 3Dมีการจำลองสิ่งต่าง ๆ ในห้องได้สมจริง ในนิยายจะเป็นการจำลองการรบในอวกาศ และสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ทั้งการเรียนการสอนออนไลน์ พิพิธภัณฑ์ออนไลน์ ทำไมมันไม่สมควรเกิด ขึ้น? สวรรค์ โอตากุดีๆ นี้เอง เพราะคุณสามารถเล่นเกมส์จีบสาวและได้สัมผัสสาวๆ ได้ตามต้องการ(แม้มันจะ เป็น 3D ก็เถอะ) ส่งผลให้คนอยู่แต่ในบ้านมากขึ้น กลายเป็นคนไม่เอาไหน มากขึ้น
 
 
 
2Replicators
Replicator นี้คือสุดยอดเทคโนโลยีที่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ในโลกได้ทุกจุด ปัญหาเรื่องความอดอยาก ปัญหาด้านพลังงาน ปัญหาการขาดเวชภัณฑ์ โลกสมบูรณ์แบบกำลังอยู่ในมือของเราแล้ว เทคโนโลยีปรากฏในสตาร์เก ท เป็นเครื่องที่สามาระสร้างและรีไซเคิล สังเคราะห์อาหาร(วัสดุอินทรีย์และอนินทรี)หรืออะไรก็ตามได้โดย มีฉายแสงเลเซอร์แสกนโมเลกุลขึ้นมา เช่นคุณอยากกินไก่ย่างเคเอฟซีคุณก็กดปุ่มว่าอยากกินไก่ที่เครื่อง เครื่องก็จะคำนวณหาส่วนประกอบแล้วใช้แสงแสกนโมเลกุลที่สามารถจับต้องได้และ มีรสชาติขึ้นมา เทคโนโลยี มีการศึกษาและมีเทคโนยีว่าอาจสามารถทำได้จริง โดนการจัดเรียงอนุภาพ Subatomic ที่มีอยู่มากมายหลายที่ในจักรวาล เพื่อให้อยู่ในรูปโมเลกุลและจัดเรียงโมเลกุลนั้นเป็นวัตถุ เช่น อยากสร้างหมูสับ จะต้องมีฟอร์มอะตอมคาร์บอน, ไฮโดรเจน ไนโตรเจน และจัดให้เป็นกรดอะมิโนโปรตีนและเซลล์เพื่อนำไปสู่การสร้างหมูสับขึ้นมา ทำไมมันไม่สมควรเกิด ขึ้น? มัน คงจะวุ่นวายพิลึกเมื่อมีคนดัดแปลง เทคโนโลยีเพื่อสร้าง ทองคำ, ระเบิด, สารพิษ, ไวรัส, แบคทีเรีย อีกทั้งเทคโนโลยียังไม่สามารถเกิดเครื่องจริงเพราะมีปัญหาเหมือนเครื่องเทเล พ็อต
 
 
 
1Time Travel
Time Travel ยังเป็นความฝันของมนุษย์มาช้านานที่จะท่องเวลา ย้อนเวลาเพื่อจะไปแก้ปัญหาในอดีต เตือนภัยอันตรายล่วงหน้า นำความรู้ในอนาคตมาใช้ในอดีต ช่วงที่ธุรกิจของคุณตกต่ำ หรืองานวันเกิดแม่ยายที่คุณไปสายจนโดนด่า เพียงแค่คุณนั่งเครื่องแล้วย้อนเวลาเท่านั้น หรือจะข้ามไปดูอนาคตข้างหน้า การ ท่องเวลายังคงเป็นความฝันของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามเกิดขึ้นจริง บรรดานักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของโลกที่กำลังทุ่มเทการ วิจัยเรื่องนี้กันอย่างหนัก และเริ่มมีเค้าโครงของความเป็นไปได้เมื่อบรรดานักวิจัยจากแคลิฟอร์เนียและ กรุงมอสโควเค้าประกาศออกมาแล้วว่า การท่องเวลา (Time Travel) นั้น มีความเป็นไปได้อยู่ทีเดียว !! ซึ่งพวกเค้าได้สร้างห้อง แล็ปที่เรียกว่า TARDIS ขึ้น มา และเริ่มทดลองโดยนำพื้นฐานมาจากสมการของนักฟิสิกส์เอกของโลก อัลเบิร์ท ไอนสไตน์ (Albert Einstein) ทำไมมันไม่สมควรเกิดขึ้น? สวรรค์ ของก่อการร้ายชัดๆ คุณสามารถเปลี่ยนอนาคตโดยให้เยอรมันชนะสงครามโลกครั้งที่ 2, ฆ่าจอร์ดบุซเพื่อไม่ให้เกิดสงครามอีรัก ,หรือซื้อหวยโดยคุณรู้ล่วงหน้าว่ามันจะออกเลขอะไร หากการท่องเวลาเกิดขึ้นจริง แล้วถ้าในอนาคตสร้างได้จริง ... ทำไมลูกหลานถึงไม่แวะเวียนมาหาเราบ้าง เป็นไปได้ไหมว่าอนาคตการสร้าง ไทม์แมชชีน (Time machine) ไม่สำเร็จ ห้ามสร้าง หรือไม่ว่าด้วยเหตุผล ใดก็ตาม ในอนาคตไม่มี ไทม์แมชชีนแน่นอน

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ดวงดาวในระบบสุริยะ


ดวงดาวในระบบสุริยะจักวาล






ดวงอาทิตย์ (The Sun)

ดวงอาทิตย์เป็นส่วนสำคัญที่สุดของระบบสุริยะ เป็นผู้ดึงดูดให้ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอยู่และดวง อาทิตย์ยังให้แสงและความร้อนกับดาวเคราะห์นั้นด้วย ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์ระบบสุริยะก็จะมืดมิดและหนาวเย็น เมื่อผ่าดวงอาทิตย์ออกมาเป็นชิ้นภายในดวงอาทิตย์นั้นไม่ได้แข็งเหมือนโลก ดวงอาทิตย์เป็นกลุ่มก๊าซดวงใหญ่ที่ลุกเป็นเปลวไฟ ดวงอาทิตย์ประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียม ดวงอาทิตย์ไม่ได้เผาไหม้ด้วยการเปลี่ยนก๊าซไฮโดรเจนเป็นก๊าซฮีเลียม ดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ร้อนที่สุดในรบบสุริยะที่ใจกลาง ดวงอาทิตย์จะร้อนถึง15 ล้านองศาเซลเซียส ความร้อนขนาดนี้เพียงก้อนโตเท่าหัวเข็มหมุดก็จะทำให้คนที่ยืนอยู่ห่าง 150 กิโลเมตรตายได้ ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ศูนย์กลางของระบบสุริยะ เนื้อสารส่วนใหญ่ของระบบสุริยะอยู่ที่ดวงอาทิตย์ คือ มีมากถึง 99.87% เป็นมวลสารดาวเคราะห์รวมกันอย่างน้อยกว่า 0.13% ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับดาวฤกษ์อื่น ๆ บนฟ้า แต่เป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุด จึงปรากฏเป็นวงกลมโต บนฟ้าของโลกเพียงดวงเดียว ดาวฤกษ์อื่นปรากฎเป็นจุดสว่าง เพราะอยู่ไกลมาก ขนาดที่แท้จริงโตกว่าโลกมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 109 เท่าของโลก ดวงอาทิตย์สร้างพลังงานขึ้นมาเองโดยการเปลี่ยนเนื้อสารเป็นพลังงานตามสมการ ของไอน์สไตน์ E = mc2 (E คือพลังงาน, m คือ เนื้อสาร, และ c คือ อัตราเร็วของแสงสว่างในอวกาศซึ่งมีค่าประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที) บริเวณที่เนื้อสารกลายเป็นพลังงาน คือ แกนกลางซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านองศาเซลเซียส ณ แกนกลางของดวงอาทิตย์มีระเบิดไฮโดรเจนจำนวนมาก กำลังระเบิดเป็นปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ ที่ไฮโดรเจนหลอมรวมกันกลายเป็นฮีเลียม ในแต่ละวินาทีไฮโดรเจนจำนวน 4 ล้านตันกลายเป็นพลังงาน ใน 1 ปีดวงอาทิตย์เมื่อเทียบกับมวลสารของดวงอาทิตย์ทั้งหมด 2 x 1027 ตัน หรือ 2,000 ล้านล้านล้านตัน หรือ 332,946 เท่าของโลกที่ผิวของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิประมาณ 5,700 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 6,000 เคลวิน ดวงอาทิตย์จึงถูกจัดเป็นดาวฤกษ์สีเหลือง มีอายุประมาณ 5,000 ล้านปี เป็นดาวฤกษ์หลัก อยู่ในช่วงกลางของชีวิต ในอีก 5,000 ล้านปี ดวงอาทตย์จะจบ ชีวิตลงด้วยการขยายตัวแต่จะไม่ระเบิด เพราะแรงโน้มถ่วงมีมากกว่าแรงดัน ในที่สุด ดวงอาทิตย์จะยุบตัวลงอย่างสงบกลายเป็นดาวขนาดเล็ก เรียกว่า ดาวแคระขาว

ดาว พุธ (Mercury)

ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดดังนั้นดาว พุธจึงร้อนจัดในเวลากลางวันและเย็นจัดในเวลวกลางคืนดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ดวง เล็กโตกว่าดวงจันทร์ของเราเพียงเล็กน้อย ภาพถ่ายทั้งหลายที่เกี่ยวกับดาวพุธได้จากยานอวกาศที่ส่งขึ้นไปขณะเข้าไปใหล้ ดาวพุธที่สุดก็จะถ่ายภาพส่งมายังโลก ทำให้รู้ว่าพื้นผิวดาวพุธคล้ายกับผิวดวงจันทร์ ผิวดาวพุธส่วนใหญ่เป็นฝุ่นและหิน มีหลุมลึกมากมาย ไม่มีอากาศ ไม่มีน้ำ ดาวพุธจึงเป็นดาวแห้งแล้ง ดาวแห่งความตายเป็นโลกแห่งทะเลทราย ดาวพุธเคลื่อนรอบดวงอาทิตย์เร็วที่สุด โดยใช้เวลาเพียง 87.969 วันในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ดาวพุธหมุนรอบตัวเองในทิศทางเดียว กับการเคลื่อนรอบดวงอาทิตย์ คือ จากทิศตะวันตกไป ทิศตะวันออก หมุนรอบตัวเองรอบละ 58.6461 วัน เมื่อพิจารณาจากคาบของการหมุนรอบตัวเอง และการคาบการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ จะพบว่าระยะเวลากลางวัน ถึงกลางคืนบนดาวพุธยาวนานถึง 176 วัน ซึ่งยาวนานที่สุดในระบบสุริยะ พื้นผิวของดาวพุธมีลักษณะคล้ายดวงจันทร์ โดยเฉพาะด้านไกลโลก เพราะต่างไม่มีบรรยากาศ แต่ดาวพุธมีขนาดใหญ่กว่า มีแรงโน้มถ่วงสูงกว่า ขอบหลุมบนดาวพุธจึงเตี้ยกว่าบนดวงจันทร์ ยานอวกาศที่เข้าไปเฉียดใกล้ๆ ดาวพุธและนำภาพมาต่อกันจนได้ภาพพื้นผิวดาวพุธดังกล่าวคือ ยานอวกาศมารีเนอร์ 10 ของสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2517 นับว่าเป็นยานลำแรกและลำเดียวที่ส่งไปสำรวจดาวพุธ ยานมารีเนอร์ 10 เข้าใกล้ดาวพุธ 3 ครั้งด้วยกัน คือ เมื่อเดือนมีนาคม และ กันยายน พ.ศ. 2517 และเดือนมีนาคม พ.ศ. 2518 ยานเข้าใกล้ดาวพุธที่สุดครั้ง แรกเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 และได้ส่งภาพกลับมา 647 ภาพ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2517 และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2518 ขณะนั้นเครื่องมือภายในยานได้เสื่อมสภาพลง ในที่สุดก็ติดต่อกับโลกไม่ได้ตั้งแต่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2518 ยานมารีเนอร์ 10 จึงกลายเป็นขยะอวกาศที่โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ โดยเข้ามาใกล้ดาวพุธครั้งคราวตามจังหวะเดิมต่อไป นอกจากดาวพุธจะมีช่วงกลางวันถึงกลางคืนยาวที่สุดแล้ว ยังมีทางโคจรที่รีมากด้วย เป็นรองเฉพาะดาวพลูโตเท่านั้น ดาวพุธมีระยะใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด 0.31 หน่วยดาราศาสตร์ และไกลที่สุด 0.47 หน่วยดาราศาสตร์ ทำให้ 2 ระยะนี้ แตกต่างกันถึง 0.16 หน่วยดาราศาสตร์ หรือ 24 ล้านกิโลเมตร นั่นหมายความว่า ถ้าไปอยู่บนดาวพุธจะเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเมื่ออยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดจะเห็นดวงอาทิตย์ใหญ่เป็น 2 เท่าครึ่งของเมื่ออยู่ไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ซึ่งโตประมาณ 4 เท่าของที่เห็นจากโลก ในระหว่างเวลากลางวัน อุณหภูมิที่ผิวของดาวพุธช่วงที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ ที่สูงสุดถึง 700 เคลวิน (ประมาณ 427 องศาเซลเซียส) สูงพอที่จะละลายสังกะสีได้ แต่ในเวลากลางคืนอุณหภูมิลดต่ำลงเป็น 50 เคลวิน (-183 องศาเซลเซียส) ต่ำพอที่จะทำให้ก๊าซคริปตอนแข็งตัว การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิบนพื้นผิวดาวพุธจึงรุนแรง คือร้อนจัดในเวลากลางวันและเย็นจัดในเวลากลางคืน ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดบนดวงจันทร์ของโลกเราด้วย ทั้งนี้เพราะไม่มีบรรยากาศที่จะดูดกลืนความร้อนอย่างเช่นโลก ปัจจุบันนักดาราศาสตร์พบร่องรอยของบรรยากาศ และพบน้ำแข็งบริเวณขั้ว ซึ่งอาจเกิดจากการชนของดาวหางบนดาวพุธ และอาจเป็นผู้ก่อกำเนิด ออกซิเจน และไฮโดรเจนบนดาวพุธ ปรากฎการณ์บนฟ้าเกี่ยวกับดาวพุธ เห็นอยู่ใกล้ขอบฟ้าเสมอ สาเหตุเป็นเพราะวงโคจรของดาวพุธเล็กกว่า วงโคจรของโลก ดาวพุธจึงปรากฏห่างจากดวงอาทิตย์ได้อย่างมากไม่เกิน 28 องศา นั่นหมายความว่า ถ้าอยู่ทางทิศตะวันออกของดวงอาทิตย์ จะเห็นทางทิศตะวันตกในเวลาหัวค่ำ แต่ถ้าอยู่ทางตะวันตกของดวงอาทิตย์ จะขึ้นก่อนดวงอาทิตย์ จึงเห็นทางทิศตะวันออกในเวลารุ่งอรุณ และเห็นเป็นเสี้ยวในกล้องโทรทรรศน์ เนื่องจากดาวพุธไม่หันด้านสว่างทั้งหมดมาทางโลก แต่จะหันด้านสว่างเพียงบางส่วนคล้ายดวงจันทร์ข้างขึ้นหรือข้างแรม หันด้านสว่างมาทางโลก ถ้าดาวพุธหันด้านสว่างทั้งหมดมาทางโลก เราจะมองไม่เห็น เพราะดาวพุธอยู่ไปทางเดียวกันกับดวงอาทิตย์ เห็นเป็นจุดดำเล็กๆ บนพื้นผิวดวงอาทิตย์

ดาวศุกร์ (Venus)

ดาวศุกร์ เป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุดในระบบสุริยะ บนดาวศุกร์ร้อนถึง 480 องศาเซลเซียส ความร้อนขนาดนี้มากจนทำให้ของทุกอย่างลุกแดงดาวศุกร์มีไอหมอกของกรดกำมะถัน ปกคลุมอย่างหนาแน่น ไอหมอกนี้ไม่มีวันจางหายแม้ว่าแสงอาทิตย์จะจัดจ้าเพียงไร จึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะไปเยี่ยมดาวศุกร์ เพราะพอไปถึงเขาจะถูกย่างจนสุกด้วยความร้อนและถูกผลักดันด้วยแรงลม เขาจะหายใจไม่ออกเพราะอากาศหนาหนักที่กดทับตัวนั้นเป็นอากาศพิษจากหมอกควัน ของกรดอากาศบนดาวศุกร์ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศโลกกว่า60เท่าผิวดาวศุกร์แห้งแล้ง เป็นหินและร้อนจัดนอกจากนี้ก็มีรอยแยกลึกและภูเขาไฟดับ ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 2 มีขนาดเล็กกว่าโลกเล็กน้อย จึงได้ชื่อว่าเป็นดาวฝาแฝดกับโลก เป็นดาวเคราะห์ที่ปรากฏสว่างที่สุด สว่างรองจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ถ้าเห็นทางทิศตะวันตกในเวลาค่ำเรียกว่า ดาวประจำเมือง และถ้าเห็นทางทิศตะวันออกในเวลาก่อนรุ่งอรุณ เรียกว่า ดาวประกายพรึก ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกอย่างรุนแรง เพราะมีบรรยากาศหนาทึบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ดาวศุกร์จึงร้อนมาก อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยสูงกว่าดาวพุธ ดาวศุกร์มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกที่สุด ใกล้กว่าดาวพุธ ซึ่งนักดาราศาสตร์ยุคโบราณเข้าใจผิดคิดว่าอยู่ใกล้โลกที่สุด ลักษณะพิเศษของดาวศุกร์คือ หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลานานกว่าการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ และถ้าเราอยู่บนดาวศุกร์เวลา 1 วัน จะไม่ยาวเท่ากับเวลาที่ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ นี่คือลักษณะพิเศษที่ดาวศุกร์ไม่เหมือนดาวเคราะห์ดวงใดๆ นอกจากนี้ดาวศุกร์ยังหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือหมุนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ในขณะที่เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์จากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ดาวศุกร์จึงหมุนสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่น และหมุนสวนทางกับการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองรอบละ 243 วัน แต่ 1 วันของดาวศุกร์ยาวนานเท่ากับ 117 วันของโลก เพราะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกยาวนาน 58.5 วันของโลก ดาวศุกร์เคลื่อนรอบดวงอาทิตย์รอบละ 225 วัน 1 ปีของดาวศุกร์จึงยาวนาน 225 วันของโลก การสำรวจดาวศุกร์โดยยานอวกาศ ยานอวกาศลำแรกที่ถ่ายภาพเมฆดาวศุกร์ได้ คือยานอวกาศของสหรัฐอเมริกา ชื่อยานมารีเนอร์ 10 เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ยานอวกาศลำแรกที่ได้ถ่ายภาพพื้นผิวดาวศุกร์ได้ คือยานอวกาศเวเนรา 9 ของรัสเซีย ซึ่งลงสัมผัสพื้นผิวของดาวศุกร์เมื่อ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2518 ต่อมามียานอวกาศไปสำรวจดาวศุกร์อีกหลายลำ ลำล่าสุดที่ถ่ายภาพโดยอาศัยระบบเรดาร์ คือยานแมกเจลแลน เมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เมื่อ พ.ศ. 2170 โจฮันส์ เคปเลอร์ เป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่คำนวณได้ล่วงหน้าว่า จะเกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2174 ต่อมาในปี พ.ศ. 2259 เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ได้คำนวณการเกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ในปี พ.ศ. 2304 และ 2312 พร้อมเสนอว่า สามารถใช้ปรากฏการณ์นี้ในการวัดระยะทาง 1 หน่วยดาราศาสตร์ได้

ดาวอังคาร (Mars) 


ดาวอังคารบางทีก็เรียกกันว่าดาวแดงเพราะผิวพื้นเป็นหินสีแดง หินบนดาวอังคารที่มีสีแดงก็เพราะเกิดสนิมท้องฟ้าของดาวดังคารเป็นสีชมพู เพราะฝุ่นจากหินแดงที่ว่านี้ ผิวของดาวอังคารเหมือนกับทะเลหินแดง มีก้องหินใหญ่และหลุมลึก ภูเขาสูง หุบ เหว และเนินมากมาย หนึ่งปีบนดาวอังคารเกือบเทาสองปีโลก แต่หนึ่งวันบนดาวอังคารจะนานกว่าครึ่งชั่งโมงโลกเพียงเล็กน้อยดาวอังคารมี อากาศห่อหุ้มอยู่ไม่มากและเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลมพัดแรงจัดทำให้ฝุ่นฟุ้ง ไปทั้งดวงดาว ดาวอังคารมีขนาดโตประมาณครึ่งหนึ่งของโลก ดาวอังคารอยูไกลดวงอาทิตย์มากกว่าโลกจึงทำให้มีบรรยากาศหนาวเย็น อุณหภูมิบนดาวดวงนี้จะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์บนฟ้าทั้งหมด เพราะเคยมีคนเชื่อว่า มีมนุษย์อยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ ดาวอังคารยังเป็นดาวเคราะห์ที่มีโอกาสเข้ามาใกล้โลกเกือบพอๆ กับดาวศุกร์ โดยระยะใกล้ที่สุดจะอยู่ภายใน 40 ล้านกิโลเมตร เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังแยกภาพสูงสุด ส่องดาวอังคารขณะอยู่ใกล้โลกที่สุด จะเห็นรายละเอียดได้ถึง 150 กิโลเมตร ซึ่งเทียบได้กับการเห็นริ้วรอยบนดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า ที่กำลังแยกภาพขนาดนี้จะไม่เห็นรายละเอียดของพื้นผิว เช่นไม่เห็นภูเขาหรือหุบเหว หรือหลุมบ่อของดาวอังคาร แต่จะเห็นโครงสร้างใหญ่ๆ เช่นขั้วน้ำแข็งสีขาว หรือริ้วรอยสีคล้ำซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลของดาวอังคาร สาเหตุที่มีผู้เชื่อว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ จิโอวานนี ชิอาพาเรลลี รายงานเมื่อ พ.ศ. 2420 ว่าเขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่งพบร่องที่เป็นเส้นตรงจำนวนมากบนพื้นผิว และเรียกเป็นภาษาอิตาลีว่า คานาลี (canale) ซึ่งมีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า channel (ช่องหรือทาง) แต่คนอังกฤษเอาไปแปลว่า canal (คลอง) อันเป็นสิ่งซึ่งต้องขุดสร้างขึ้น ผู้ขุดสร้างคลองบนดาวอังคารจึงต้องเป็นมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนำน้ำจากขั้วมายังบริเวณศูนย์สูตรสำหรับการเพาะปลูก จุดนี้เองที่นำไปสู่การเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เชื่อว่ามีมนุษย์ดาวอังคาร ซึ่งจะเดินทางมาบุกโลก ผู้ที่สนับสนุกความคิดเรื่องมนุษย์ดาวอังคารสร้างคลองส่งน้ำเพื่อการเพาะ ปลูก คือ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์อเมริกันและเป็นสมาชิกของครอบครัวที่มั่งคั่งในรัฐแอริโซนา เขาได้ทำแผนที่แสดงคลองต่างๆ บนดาวอังคาร แต่ต่อมามีนักดาราศาสตร์ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังแยกภาพที่ดีกว่า ตรวจไม่พบคลองบนดาวอังคาร แต่ชาวบ้านทั่วไปยังฝังใจเชื่ออยู่ จนกระทั่งถึงยุคอวกาศจึงปรากฏชัดว่าไม่มีคลองบนดาวอังคารแน่นอน พื้นผิวดาวอังคารมีหลุมบ่อ หุบเหว ภูเขา และมีปล่องภูเขาไฟ มีร่องเหมือนเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ดังจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อการสำรวจดาวอังคารโดยยานอวกาศ ยานอวกาศลำแรกที่ประสบความสำเร็จในการผ่านใกล้ดาวอังคาร คือ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารจึงพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและลึกร่องที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชือที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้ เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ล่าสุดยานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา ในอนาคตสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น มีโครงการที่จะส่งยานอวกาศไปเก็บดินจากดาวอังคารกลับมาวิเคราะห์ในห้อง ปฏิบัติการบนโลก และอีกไม่นานมนุษย์จะเดินทางไปดาวอังคารเช่นเดียวกับการลงบนดวงจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2512

ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) 

ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์ยักษ์ เพราะมีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าโลก 11.2 เท่า นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นดาวเคราะห์ก๊าซ เพราะมีองค์ประกอบเป็นก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมคล้ายในดวงอาทิตย์ ความหนาแน่นของดาวพฤหัสบดีจึงต่ำ (1.33 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร) เมื่อดูในกล้องโทรทรรศน์ จะเห็นเป็นดวงกลมโตกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ พร้อมสังเกตเห็นบริวาร 4 ดวงใหญ่เรียงกันอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตรด้วย กาลิเลโอเป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่ใช้กล้องส่องพบบริวารสี่ดวงใหญ่นี้ จึงได้รับเกียรติว่าเป็นดวงจันทร์ของกาลิเลโอ ความเป็นที่สุดของดาวพฤหัสบดี ใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลาย โดยมีเส้นผ่านศุนย์กลางเป็น 11.2 เท่าของโลก ขนาดเชิงมุมใหญ่ที่สุดเท่ากับ 50.0 ฟิลิปดา มีมวลสารมากที่สุดโดยมีเนื้อสารเป็น 318 เท่าของโลก หรือ 2.5 เท่าของดาวเคราะห์อื่นและบริวารรวมกัน มีปริมาตรมากที่สุด ถ้าดาวพฤหัสบดีกลวงจะสามารถจุโลกได้ 1,430 โลก หมุนรอบตัวเองเร็วที่สุด โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมงในการ หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ดังนั้น 1 วันบนดาวพฤหัสบดีจึงสั้นที่สุดด้วย การหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วของดาวเคราะห์ ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีออกจากจุดศูนย์กลาง ดาวพฤหัสบดีจึงโป่งออกบริเวณเส้นศูนย์สูตร ซึ่งสามารถสังเกตได้แม้ในรูปขนาดเล็ก มีความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงที่ผิวมากที่สุด โดยมีค่าเป็น 2.53 เท่าของโลก นั่นหมายความว่าถ้าเราอยู่บนดาวพฤหัสบดีเราจะหนักเป็น 2.53 เท่าของน้ำหนักบนโลก มีความเร็วของการผละหนีที่ผิวมากที่สุด (60 กิโลเมตรต่อวินาที เทียบกับ 11.2 กิโลเมตรต่อวินาทีที่ผิวโลก) ดังนั้นก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซฮีเลียมที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ จึงไม่สามารถหนีจากดาวพฤหัสบดีได้ เป็นราชาแห่งดาวเคราะห์เพราะความเป็นที่สุดดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ยังเป็นระบบสุริยะย่อยๆ เพราะมีบริวารอย่างน้อย 16 ดวง เคลื่อนไปรอบๆ คล้ายดวงอาทิตย์ที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบ 9 ดวง สมบัติอื่นๆ ของดาวพฤหัสบดีคือ มีจุดแดงใหญ่อยู่ที่ละติจูด 22 องศา มีขนาดโตกว่า 3 เท่าของโลก จุดแดงใหญ่เป็นพายุหมุนที่เกิดในบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี สังเกตุพบครั้งแรกโดย รอเบิร์ด ฮุค เมื่อ พ.ศ. 2207 และแคสสินี ในปีพ.ศ. 2208 จุดแดงใหญ่มีอายุอยู่ได้นานเพราะมีขนาดใหญ่ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และไม่มีใครบอกได้ว่าจุดแดงใหญ่จะหายไปเมื่อใด มีแถบและเข็มขัดขนานกันในแนวเส้นศูนย์สูตร เมื่อดูจากภาพถ่ายหรือดูในกล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูง จะเห็นแถบกว้างหลายแถบ ระหว่างแถบมีร่องลึกคล้ายแข็มขัดหลายเส้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดในบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี

ดาวเสาร์ (Saturn) 

ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีความสวยงาม จากวงแหวนที่ล้อมรอบ เมื่อดูในกล้องโทรทรรศน์จะเห็นวงแหวน ซึ่งทำให้ดาวเสาร์มีลักษณะแปลกกว่าดาวดวงอื่นๆ ดาวเสาร์มีองค์ประกอบคล้ายดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์ก๊าซที่มีลมพายุพัดแรงความเร็วถึง 1,125 ไมล์ต่อชั่วโมง มีขนาดใหญ่รองจากดาวพฤหัสบดี ถ้านับวงแหวนเข้าไปด้วย จะมีขนาดเท่าดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีความหนาแน่นน้อยที่สุด กล่าวคือมีความหนาแน่นเพียง 0.7 กรัมต่อลูกบาศก์ เซนติเมตร ซึ่งน้อยกว่าความหนาแน่นของน้ำ ดังนั้นหากมีน้ำจำนวนมากรองรับ ดาวเสาร์ก็จะลอยน้ำได้ เนื่องจากดาวเสาร์อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 2 เท่าของระยะดาวพฤหัสบดีจากดวงอาทิตย์ จึงใช้เวลานานเกือบ 30 ปีในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ แต่ดาวเสาร์หมุนรอบตัวเองเร็วมาก จึงทำให้โป่งออกทางด้านข้างมากกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่น สามารถสังเกตได้แม้ในภาพถ่ายขนาดเล็กวงแหวนของดาวเสาร์เป็นก้อนหินและน้ำ แข็งสกปรก กล่าวคือ น้ำแข็งช่วยยึดฝุ่นและก้อนหินสกปรกเข้าด้วยกัน ก้อนน้ำแข็งสกปรกมีขนาดต่างๆ กัน และมีเป็นจำนวนมาก น้ำแข็งสะท้อนแสงดวงอาทิตย์ได้ดี เราจึงเห็นวงแหวนชัดเจน วงแหวนบางมาก และประกอบด้วยวงแหวนจำนวนหลายพันวง แต่สังเกตได้จากโลกเห็นเป็นชั้นๆ ชั้นนอกสุด เรียกว่า วงแหวน A วงสว่างที่สุดอยู่ใกล้ดาวเสาร์เรียกว่า วงแหวน B ช่องว่างระหว่างวงแหวนทั้งสองนี้เรียกว่า ช่องแคสสินี (Cassini Division) ซึ่งตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลิ Giovani Cassini ซึ่งพบวงแหวนนี้เป็นคนแรกในปี 1675 ภายในวงแหวน B มีวงแหวนที่ไม่สว่างชื่อวงแหวน C ภาพจากการถ่ายของยานไพโอเนียร์และวอยาเจอร์แสดงให้เห็นว่า มีวงแหวนมากกว่าสามวง คือมีวงแหวน D ซึ่งมองเห็นเลือนๆ นอกจากนี้ยังมีวงแหวนชั้นนอกที่มีลักษณะแคบๆ เรียกว่าวงแหวน F และวงแหวน G ด้านหลังของวงแหวนทั้งสองนี้เป็นวงแหวนขนาดกว้าง แต่มีความเลือนคือ วงแหวน E วงแหวนทั้งหมดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 375,000 ไมล์ วงแหวนแต่ละวงบางมากเมื่อเทียบกับความกว้าง เปรียจประดุจดังแผ่นกระดาษ ดังนั้นเมื่อด้านข้างของวงแหวนหันมาทางโลก เราจึงมองไม่เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ วงแหวนดาวเสาร์เอียงจากระนาบทางโคจรของดาวเสาร์รอบดวงอาทิตย์เป็นมุม 27 องศา เมื่อดูจากโลกจึงเห็นวงแหวนไม่เหมือนกันในแต่ละตำแหน่ง ถ้าวงแหวนหันด้านข้างมาทางโลกเราจะมองไม่เห็นวงแหวนเลย แต่จะเห็นเป็นเส้นสีดำพาดผ่านดาวเสาร์ ยานอวกาศวอยเอเจอร์ 1 และวอยเอเจอร์ 2 ที่ผ่านเฉียดดาวเสาร์พบว่า วงแหวนของดาวเสาร์ด้านที่ได้รับแสงแดดมีอุณหภูมิ -180 องศาเซลเซียส ส่วนด้านมืดอุณหภูมิต่ำกว่านี้เป็น -200 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำขนาดนี้น้ำแข็งจะไม่ระเหยหรือกลายเป็นไอเลย วงแหวนที่เห็นจากโลกเป็น 3 ชั้นนั้น แท้ที่จริงประกอบด้วยวงแหวนเล็กๆ จำนวนเป็นล้านๆ วง วงแหวนก่อรูปร่างอย่างไรและเมื่อไร? วงแหวน C และ B ได้ก่อตัวเมื่อดาวเสาร์หรือดาวเคราะห์อื่นๆ ในระบบสุริยะเริ่มเกิดขึ้น ดาวเคราะห์ก่อตัวด้วยแก๊ซและอนุภาคที่ลอยในอวกาศ วงแหวนอาจก่อตัวโดยอนุภาคน้ำแข็งที่ตกค้าง วงแหวน A อาจเป็นเศษที่เหลือของดาวบริวารที่เป็นน้ำแข็งของดาวเสาร์ ประมาณ 10 ล้านปีมาแล้ว ดวงจันทร์อาจแตกแยกออกจากกัน ชิ้นส่วนทั้งหมดของดวงจันทร์อาจกระจัดกระจายเป็นวงแหวนกว้าง ในขณะที่มันหมุนรอบดาวเคราะห์


ดาวยูเรนัส (Uranus) 
ดาวเคราะห์ชั้นนอกดวงต่อไปถัดจากดาวเสาร์ได้แก่ดาวยูเรนัส ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นที่สามในระบบสุริยะ มันมีลักษณะเลือนลาง จะต้องมองดูด้วยกล้องโทรทัศน์เท่านั้นจึงสามารถมองเห็น เราเคยคิดว่ามันเป็นดาวฤกษ์ ในปี 1781 William Herschel ได้ใช้กล้องโทรทัศน์ค้นพบว่า ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ เขาเห็นแผ่นกลมสีเขียวที่ไม่มีรอย ต่อมา นักดาราศาสตร์ได้พบดาวบริวารห้าดวง ในปี 1977 ได้มีการพบวงแหวนของดาวยูเรนัส ถึงแม้ว่านักดาราศาสตร์จะใช้กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่สุด แต่เขาก็ยังไม่สามารถค้นหาอะไรได้มากมายนักเกี่ยวกับดาวยูเรนัสเอง ในปี 1986 ยานอวกาศวอยาเจอร์2 ได้บินผ่านดาวยูเรนัสและได้ส่งภาพที่ชัดเจนของดาวยูเรนัส และวงแหวนตลอดจนดาวบริวารของมันกลับมายังพื้นโลก ในที่สุดเราก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยว

ดาวบริวารที่ประหลาด
ยานวอยาเจอร์ยังพบดาวบริวารขนาดเล็กสิบดวงที่อยู่รอบดาวยูเรนัสซึ่งไม่เคย พบมาก่อน ทั้งหมดหมุนรอบๆระหว่างวงแหวนและดาวมิแรนดา มิแรนดาเป็นดาวที่อยู่ใกล้ที่สุดของบรรดาดาวทั้งห้าดวงซึ่งเป็นที่รู้จักกัน มาก่อนแล้ว ดาวบริวารเหล่านี้ประกอบด้วยน้ำแข็งและหิน เป็นดาวบริวารที่แปลกประหลาดที่สุดในระบบสุริยะ ดาวบริวารของดาวยูเรนัสมีหย่อมขนาดใหญ่สีขาวและสีดำ ซึ่งอาจเกิดจากการผสมกันระหว่างน้ำแข็งและแก๊ซแข็ง มีหุบเขาลึกและภูเขาสูงด้วยเช่นเดียวกัน บนดาวมิแรนดาจะมีหน้าผาสูงสิบสองไมล์ นักดาราศาสตร์คิดว่าครั้งหนึ่งมิแรนดาอาจแตกเป็นส่วนๆต่อมา ชิ้นส่วนเหล่านี้กลับเข้ามาประกบอีกเหมือนก่อน กับดาว


ดาว เนปจูน (Neptune) 

เมื่อดาวยูเรนัสถูกค้นพบ คนได้วันเส้นทางของมันผ่านอวกาศ การหมุนรอบของดาวยูเรนัสมีลักษณะผิดปกติบางคนคิดว่าจะต้องมีดาวเคราะห์ดวง ใหญ่อีกดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ที่ไม่เป็นที่รู้จักอาจอยู่ถัดจากดาวยูเรนัส แรงโน้มถ่วงของมันอาจจะดึงไปที่ดาวยูเรนัสจึงทำให้การหมุนของมันเปลี่ยนแปลง ในปี 1845 นักดาราศาสตร์สองคนที่ทำงานคนละที่ในอังกฤษและฝรั่งเศสรู้ว่าดาวเคราะห์ดวง ใหม่อยู่ที่ใหน ทั้งสองมีความเห็นตรงกัน คนอื่นๆก็เริ่มลงมือศึกษาดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ ในปี 1846 ชาวเยอรมันชื่อ Johann Galle ได้พบโลกใหม่ด้วยกล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ มันอยู่ในตำแหน่งที่นักดาราศาสตร์คนอื่นได้ระบุไว้ก่อนแล้ว ดาวเคราะห์ดวงใหม่มีสีน้ำเงินมีชื่อว่าดาวเนปจูนตามชื่อเทพเจ้าแห่งทะเล โรมัน ดาวเนปจูนโตเกือบเท่าดาวยูเรนัส มันเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ในระบบสุริยะ มันอยู่ห่างไกลจากโลกมาก จึงทำให้มองเห็นสลัวมาก ดาวเนปจูนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา มันดูคล้ายกับดาวฤกษ์ ยังไม่มียานอวกาศที่เคยไปยังดาวเนปจูน สิ่งที่เรารู้ทั้งหมดก็คือ ดาวเคราะห์ดวงนี้มองเห็นจากโลกก็เหมือนกับดาวยูเรนัส มีมหาสมุทร น้ำที่ลึกล้อมรอบแกนหินซึ่งอยู่ใจกลางของดาวเนปจูน บรรยากาศของดาวเนปจูนไม่เต็มไปด้วยหมอกเหมือนกับดาวยูเรนัส กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่แสดงให้เห็นแถบกลุ่มควันขาวที่หมุนรอบดาวเนปจูน บรรยากาศจะเย็นมาก กลุ่มควันประกอบด้วยมีเทนที่แข็ง บางครั้งกลุ่มควันเหล่านี้จะกระจายออกและปกคลุมดาวเนปจูนทั้งดวง อาจมีลมพัดจัดบนดาวเนปจูน ลมเกิดจากอากาศร้อนที่ลอยขึ้น ลมเย็นพัดเข้าไปแทนที่ บนดาวเนปจูน ความร้อนต้องมาจากภายในเพื่อทำให้ลมพัด ในเดือนสิงหาคม ปี 1989 ยานวอเยเจอร์ 2 ได้ไปถึงดาวเนปจูน มันบินผ่านและส่งภาพและการวัดกลับมายังพื้นโลกเราคงมีความรู้มากขึ้นเกี่ยว กับดาวเนปจูน ต่อจากนั้น ยานวอเยเจอร์ 2 จะบินออกจากระบบสุริยะตั้งแต่ได้ออกจากโลกไปในปี 1977 ยานอวกาศจะบินผ่านดาวเคราะห์ชั้นนอกสี่ดวง ยังไม่มียานลำใดที่ได้ไปยังดาวเคราะห์ต่างๆมากเหมือนยานวอยาเจอร์

ระบบสุริยะทางช้างเผือก


ระบบสุริยะ
กาแลกซี่ที่ดวงอาทิตย์อาศัยอยู่เรียกว่า "ทางช้างเผือก" ประกอบด้วยดาวประมาณแสนล้านดวงมีขนาดและระยะห่างจากดวงอาทิตย์ต่างๆ กัน ดาวมีขนาดและอุณหภูมิแตกต่างกันออกไป หมู่ดาวแคระมีขนาดคงที่แล้วแต่ความร้อนจะค่อยๆ ลดลงไป ดวงอาทิตย์เป็นดาวแคระเหลือง ดาวยักษ์แดง และดาวแคระขาว เป็นดาวที่มีอายุมากกว่าดวงอาทิตย์

ทางช้างเผือกมีรูปร่างแบบกังหัน แต่เนื่องจากโลกของเราอยู่ภายในกาแลกซี่จึงมองเห็นเป็นทางยาวมัวๆ กว้างประมาณ 100,000 ปีแสง และตรงกลางหนาประมาณ 15,000 ปีแสง ระบบสุริยะของเราตั้งอยู่ประมาณ 30,000 ปีแสงจากศูนย์กลางของกาแลกซี่

การบอกตำแหน่งดาว


การบอกตำแหน่งดาว

ภาพที่ 4  มุมอาซิมุท และมุมเงย
          ในการบอกตำแหน่งเทห์วัตถุท้องฟ้าอย่างง่าย ซึ่งเรียกว่า ระบบ "อัลตาซิมุท" (Alt-azimuth) นั้น  เราบอกด้วยค่ามุมสองชนิด คือ มุมอาซิมุท และมุมเงย
               
 มุมอาซิมุท (Azimuth) เป็นมุมในแนวราบ นับจากทิศเหนือ ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา ไปยังทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และกลับมาทิศเหนืออีกครั้งหนึ่ง มีค่าระหว่าง 0 - 360 องศา
               
 มุมเงย (Altitude) เป็นมุมในแนวตั้ง นับจากเส้นขอบฟ้าขึ้นไปสู่จุดเหนือศีรษะ มีค่าระหว่าง 0 - 90 องศา
          จากตัวอย่างในภาพที่ 4 แสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งของดาว มีค่ามุมอาซิมุธ 250°  และมีค่ามุมเงย 50°

เราย้อนเวลาได้จริงหรือ

การย้อนเวลา

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 ผลงานที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว

10 ผลงานที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว


           10. Ancient Cave
       มีการค้นพบศิลปะโบราณที่มีอายุหลายพันปีที่วาดรูปสิ่งที่ดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์เอาไว้ ส่งผลทำให้เกิด “ทฤษฏีนักบินอวกาศในโลกโบราณ”ขึ้น โดยตำนานกล่าวว่ามีเทพหรือผู้มาจากฟ้าเบื้องบนมาติดต่อกับมนุษย์สมัยก่อนเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและความรู้แก่พวกเขา โดยภาพศิลปะโบราณนั้นปรากฏอยู่ทั่วโลก เช่น ภาพเขียนที่ทะเลทราย ซาฮาร่า อายุประมาณ 6,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีภาพวาดหนึ่งที่คล้ายจานบินและมนุษย์ต่างดาว, ศิลปะสกัดหินแห่งหุบเขาคาโมนิคา ภาพวาดคล้ายมนุษย์อวกาศ มีความเก่าแก่ประมาณ 10,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ส่วนในภาพเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดตามผนังของชนเผ่าอบอริจินที่เมือง Kimberly อายุประมาณ 5,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ที่เป็นภาพเหล่ามนุษย์แปลกๆ ที่ดูแล้วไม่ใช้มนุษย์ แต่เหมือนมนุษย์ต่างดาวมากกว่า ในขณะที่ฝ่ายค้านจานบินบอกว่าภาพเหล่านี้น่าจะเป็นภาพเทพเจ้าตามความเชื่อของคนโบราณมากกว่า

                  9. Egyptian Carvings
     มีหลักฐานชัดเจนว่ามีเทคโนโลยีสูงสุดในยุคโบราณที่ปรากฏในภาพเกาะสลักในจารึกในอียิปต์ บางภาพดูเหมือนเฮลิคอปเตอร์, จานบิน, เครื่องบินเจ็ท หรือแม้กระทั้งหลอดไฟฟ้าที่ค้นพบในวิหารเดนเดรา ซึ่งชาวอียิปต์โบราณได้สลักภาพที่ดูเหมือนหลอดไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน โดยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงวรรณกรรมในอียิปต์แต่อย่างใด ส่วนภาพที่เห็นนั้น คือ คานติดเพดานอายุกว่า 3000 ปี ในวิหารอาบิดอส โบราณทางใต้ของไคโร ของอียิปต์ บริเวณที่ราบสูงกิซา มีภาพประติมากรรมยานลึกลับปรากฏอยู่ 


                8. Nazca Lines 
     ไกลออกไปในที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ทะเลทรายนาซคา ในภาคใต้ของเปรู ได้มีลายเส้นเครื่องหมายหรืออาจเป็นสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง ปรากฏขึ้นอย่างดาษดื่นทั่วไปกินเนื้อที่หลายร้อยตารางไมล์ แต่ส่วนใหญ่พบอยู่ในระหว่างเมืองนาซคากับเมืองปัลปา ลักษณะมีการขีดเน้นอย่างจงใจและประณีต ขนาดใหญ่โตถึง 200เมตร และรูปทั้งหมดครอบคลุมเนื้อที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร ท้าทายแดด ลม ฝน เป็นเวลากว่าสองพันปี ลายเส้นเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า "นาซคาไลน์"
นาซคาไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม นกฮัมมิ่งเบิร์ด (ทั้งๆที่เปรูไม่มีนกชนิดนี้) บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ในยุค 100 ปี ก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช นาซคาไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง และค่อนข้างชัดเจนว่าภาพเหล่านี้จงใจสร้างขึ้นเพื่อให้มองจากท้องฟ้า การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ




                7.Antikythera Mechanism 
      มีสิ่งประดิษฐ์อย่างน้อยหนึ่งชิ้นที่พิสูจน์ว่า อารยธรรมหนึ่งในโลกโบราณเป็นเจ้าของเทคนิคที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่คาดถึงมาก่อน มันถูกพบในทะเลนอก เกาะแอนติไกเธอร่า เป็นเกาะเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของครีท มันจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า มันถูกค้นพบจากเรือที่อับปางลำหนึ่งที่ถูกค้นพบในปี 1900 การค้นพบในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลกรีกยืนมาช่วยเหลือ(กรีกกับกริซเป็นคนละประเทศนะครับ ขอบอกไว้ก่อน)ได้ยื่นมือกู้สมบัติ กว่าจะกู้หมดใช้เวลา 9 เดือน พวกเขาก็นำเอารูปปั้นหินอ่อนและบรอนซ์ขึ้นมา และนำพวกมันไปยังพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติในกรุงเอเธนส์ เพื่อทำความสะอาดและบูรณะ พนักงานของพิพิธภัณฑ์ตื่นตาตื่นใจในความงามและปริมาณที่มีอยู่มากมายของสิ่งของ ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน ก่อนที่จะมีใครมองดูซากบรอนซ์ที่ผุกร่อนสองสามชิ้นที่ถูกค้นพบมาพร้อมกันอย่างใกล้ชิด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1902 นักโบราณคดีชั้นนำผู้หนึ่ง คือ วาเลอริออส สตาอิสได้ตรวจพบมันในที่สุด เขาสังเกตเห็นสมบัติที่งมขึ้นมีชิ้นเดียวที่ถูกละเลยกองรวมรูปหล่อบรอนซ์และรูปสลักหินอ่อนไม่สมบูรณ์อื่นๆ แถวรูปร่างของมันคล้ายนาฬิกามีโครงร่างซี่ล้อผุพัง ใ แต่ชิ้นที่น่าสนใจที่สุดของทั้งหมดคือเครื่องจักรกลที่รวบรวมระบบฟันเฟืองที่แตกต่างกันโดยอย่างสิ้นเชิง นี่ เพราะตามประวัติศาสตร์ได้มีการคิดระบบฟันเฟืองที่ซับซ้อนถึงเช่นนี้ปรากฏเป็นครั้งแรก ในตัวเรือนนาฬิกาที่สร้างขึ้นในปี 1575 ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่ามันเป็นล้อฟันเฟืองของจานกลุ่มดาว ซึ่งนักดาราศาสตร์ใช้ในการวัดการขึ้นของดวงอาทิตย์
    เลอริออสได้ประกาศสิ่งที่เขาพบว่านี้คือเครื่องกลไกทางดาราศาสตร์โบราณ แต่ก็มีการโต้เถียงในเวลาต่อมา เพราะหลายคนไม่เชื่อว่าคนสมัยก่อนไม่น่าจะมีหัวคิดในเรื่องกลไกลสลับซับซ้อนแบบนี้ได้ แม้จะเก่งเรื่องคณิตศาสตร์ก็ตาม
    ไม่มีใครรู้ว่าเครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่าใช้อย่างไร หรือมันไปทำอะไรในเรือที่บรรทุกรูปปั้น แต่ตัวของไพรส์คิดว่ามันอาจเป็นตัวแทนของจักรวาลเป็นงานศิลปมากกว่าที่จะเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เขายังเชื่อว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดเทคนิคการติดตั้งเฟืองที่ตกทอดให้แก่คนรุ่นหลัง จากกรีก โบราณให้กับผู้รับช่วงชาวมุสลิม และท้ายที่สุดก็ออกดอกออกผลมาเป็นนาฬิกาทางดาราศาสตร์ของชาวยุโรปผู้ยิ่งใหญ่ในยุคกลาง และเครื่องจักรกลแอนดิคีเธอร่าต้องจัดให้เป็นอย่างที่ไพรส์กล่าวว่า "เป็นหนึ่งในประดิษฐกรรมพื้นฐานทางด้านเครื่องจักรกลทางเวลาทั้งหมด"
    อย่างไรก็ตามการค้นพบ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า (Antikythera Machine) นั้นเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญชิ้นแรก ที่จุดประกายให้มีการลบล้างความเข้าใจดั้งเดิมที่เชื่อๆ กันว่าคนโบราณนั้นฉลาดเหลือเชื่อ(หรือเป็นผลงานของมนุษย์ต่างดาวกันแน่)





                    6.Saqqara Bird 
     ถูกค้นพบเมื่อปี 1898 ในสุสานใกล้กับเมืองกีซาซึ่งถูกประมาณการว่าสร้างเมื่อ 200 ปี ก่อนคริสตกาล (บางเอกสารจะกล่าวว่า 2000 ปี (แต่บางคนบอกว่า 200 ปี) โดยเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมนักบินอวกาศยุคโบราณ) โดยรูปร่างสิ่งนั้นเหมือนเครื่องบินยาวประมาณ 14 เซนติเมตร ปัจจุบันหลักฐานชิ้นนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงไคโร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การบินชี้ว่าทรวดทรงและองศาของปีกตรงตามหลักการทำปีกเครื่องบิน และยังมีผู้กล่าวด้วยว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด (ในเวลานั้น) ซึ่งดีไซน์โดยนาซ่ามีความคล้ายคลึงกับโมเดลดังกล่าวนี้มาก ส่วนคนค้านก็ว่าว่า “มันเป็นนกไม่ใช่เครื่องบิน” หากแต่สังเกตดีๆ สิ่งนั้นไม่มีขาและองศาของปีกนั้นไม่เหมือนกับนก อีกทั้งการออกแบบเหมือนเครื่องบินกำลังยกเครื่อง โดยปัจจุบันเชื่อว่าเป็นศิลปวัตถุทางศาสนา ไม่ก็ของเล่นของเด็กสมัยก่อน 


            5.Dogu
   โดกุเป็นรูปปั้นประหลาด เริ่มผลิตในสมัยโชมอน ตอนปลาย (ของญี่ปุ่น) รูปแกะสลักดังกล่าวเป็นงานหยาบๆ และง่ายๆ โดยการเกลาไม้ให้เป็นรูปร่างคร่าวๆ มีตา จมูก ปาก แขน และขา แต่ประหลาดนิดหน่อยคือมี ศีรษะใหญ่ผิดปกติ ลำตัวและแขนบิดเบี้ยวผิดไปจากธรรมชาติ และสวมเครื่องแต่งกายโบราณเท่านั้น (ไม่นิดหน่อยแล้ว)
   ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า บริเวณดวงตาโดกุก็มีดวงตากลมโตยื่นออกมาเป็นรูตรงกลาง(บางตัวมีรูปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า) และชุดโบราณนั้นก็คล้ายกับชุดอวกาศ เหมือนมนุษย์ต่างดาวไม่มีผิด! ส่วนคนค้านก็บอกว่าดวงตากลมนั้นอาจจะเป็นแว่นกันหิมะเหมือนชาว เอลกิโมก็ได้ ก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะสมัยก่อนญี่ปุ่นมีหิมะเยอะอยู่แล้ว
   ในอเมริกาก็มีผู้เชียวชาญมาตรวจสอบเหมือนกัน และให้ความเห็นแบบง่ายๆ ว่า "ถ้าเสื้อโบราณนี้เป็นเสื้ออวกาศละก็จะเป็นชุดที่มีความสมบูรณ์แบบชุดหนึ่ง ส่วนมัสซึมูระ และซีซิกส์ นักโบราณคดี คิดว่าประชากรชาวญี่ปุ่นน่าจะเลียนแบบอะไรสักอย่าง โดยชุดนี้อาจใช้ในการสู้รบกับอะไรสักอย่างที่เกินมนุษย์อย่างเราเข้าใจกัน เพราะมีการสวมถุงมือและถุงเท้าเข้ากับชุดดังกล่าว ถุงมือที่ตัดนั้นจะสวมพอดีกับแขนโดยมีห่วงกลมคอยรัดเอาไว้ ส่วนแว่นตานั้นก็สามารถเปิดหรือปิดก็ได้ ด้านข้างลำตัวจะมีคานติดอยู่ บางทีอาจะมีไว้สำหรับเคลื่อนทีในขณะที่มงกุฎที่อยู่บนหมวกเหล็กนั้นก็อาจจะ เป็นเสาอวกาศ และชุดที่ออกแบบแบบนี้อาจใช้ในสภาพเหมาะสมกับการควบคุมความดันโดยอัตโนมัติ ก็ได้"(ว่าไปนั่น)"
   ตุ๊กตาโดกุได้เชื่อมโยงกับ เทพเจ้าฮิโตโคโตนูชิ เป็นเทพที่มาเยือนมนุษยืเพื่อสอนให้มนุษย์รู้จักวิทยาการต่างๆ และสอนให้มนุษย์รู้จักสร้างอาวุธและใช้อาวุธด้วย เทพฮิโตโคโตนูชิ เป็นเทพในชุดโชมอน อยู่ในชุดแต่งกายของชุดมนุษย์โบราณ และถืออาวุธที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ และมีหมวกเหล็กสวมบนศีรษะอีก เหมือนพระเจ้าจากอวกาศไม่มีผิด! และตุ๊กตาโดกุนี้ไม่ได้มี จุดเดียวที่ถูกค้นพบ แต่ตุ๊กตาแกะสลักเหล่านี้ถูกค้นพบเกือบทั่วญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น อำเภอคาเมกาโอกะ อาโอโมริ และ มิยูกิ แถบ โตโฮกุและคันโต และอีกหลายตำบลในบริเวณนั้น 





               4. Crop Circles 
    ครอปเซอร์เคิล เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบพืช(ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง) ที่ล้มลง จนกลายเป็นรูปทรงโดยรวมที่ออกมา เมื่อมองจากมุมสูงจะพบเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อน สวยงาม นอกจากนี้มีปรากฏการณ์แปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย เช่น มีลูกบอลเรืองแสงที่มีสีสันจากความร้อนได้เกิดขึ้นก่อนการเกิด ครอปเซอร์เคิล ในบางโอกาสมีลำแสงพุ่งลงมายังท้องทุ่ง และต้นพืชที่ล้มลงก้านนั้นจะไม่หักเลยทีเดียวแต่จะงอไปทางขวา ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษและในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้นไปทั่วโลก ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น จนมันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจเพราะไม่มีใครเห็นร่องรอยของรถ หรือรอยเท้าคน แม้กระทั่งขี้บุหรี่และสิ่งของต่างๆตกอยู่เพื่อให้เก็บเป็นหลักฐานในบริเวณนั้นเลย หากนี่คือฝีมือมนุษย์จริงๆ คนทำงานกลุ่มนี้ต้องมีความรอบคอบมากที่จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ให้สืบค้นแม้แต่น้อย นอกจากนี้มีคนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ 




               3. Norwegian Spiral 
    ในเดือนธันวาคม 2009 ทางภาคเหนือของนอร์เวย์ มีปรากฏการณ์หนึ่งที่ยากจะหาคำตอบได้นั่นก็คือบนท้องฟ้าปรากฏลำแสงลึกลับ รูปเกลียววงใหญ่ชนิดใหญ่มาก มีสีฟ้าอ่อน ส่งผลให้เกิดกลุ่มเมฆ กลุ่มควันเป็นรูปใยแมงมุมขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ปรากฏการณ์ดังกล่าวอยู่นาน 2-3 นาทีก่อนที่จะหายไป โดยพวกยูเอฟโอเชื่อว่ามันเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว แถมมีการเสริมว่า มนุษย์ต่างดาววาร์ปมาขัดขวางการรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่กำลังจะมาถึงนี้ของนายบารัค โอบาม่าด้วย ในขณะที่ฝ่ายค้านเชื่อว่ามันเป็นจรวดมิสไซล์ที่ถูกยิงมาจากเรือของรัสเซีย แต่ระเบิดเกิดผิดพลาด มันเสียสมดุลและหมุนวนในอากาศจนทำให้เกิดควันเป็นวงกลมรูปใยแมงมุมดังกล่าว บ้างก็ว่าเป็นการทดลองของ HAARP จาก Project Blue Beam




               2. Stonehenge 
     สโตนเฮนจ์ เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณ เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว
    มีผู้สันนิษฐานถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างสโตนเฮนจ์กันหลายประเด็น แต่ประเด็นที่ดูจะได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ พิธีกรรมทางศาสนาของหรือดาราศาสตร์ ใช้ในการสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เช่น สุริยุปราคา เป็นต้น




                1. Pyramids of Giza 
    มีผู้เชื่อว่าเอเลี่ยนโบราณได้เคยทิ้งอนุสรณ์เอาไว้บนโลก และอนุสรณ์ที่โด่งดังที่สุดก็คือ...ใช่แล้ว พีระมิด สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬาร ซึ่งแม้พีระมิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่จริงๆแล้วพีระมิดถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก มาย กระจายไปทั่วโลก เช่น ในเม็กซิโก กรีซ จีน ฯลฯ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณบนโลกเรานี้ หลายๆพื้นที่จะคิดได้เหมือนกัน ทั้งๆที่สมัยก่อนโน้นเมื่อ 3-5 พันปีก่อน ยังไม่มีการเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกสบายเหมือนตอนนี้ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องยาก แต่พีระมิดก็เกิดขึ้นแทบจะทั่วโลก และน่าทึ่งด้วยเทคโนโลยีการตัด และเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ รูปทรงที่สมมาตร แถมพีระมิดบางแห่งยัง "ซ่อน" ความลับด้านวิทยาการเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจ
    พีระมิดเห่งเมืองกีซ่า (เมืองกีเซห์) ตั้งอยู่ ณ เมืองกีเซ่ห์ ประเทศอียิปต์ โดยมีกษัตริย์คีออปส์ หรือคูฟู กษัตริย์คาเฟร และกษัตริย์คูเร เป็นผู้สร้าง ประมาณ 4,500 ปีมาแล้ว เป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์ หรือ คูฟู พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึง ปัจจุบัน
    คนที่เชื่อทฤษฏีนักบินอวกาศโบราณเชื่อว่าพีระมิดแห่งกีซาสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว แต่อย่างไรก็ดีพวกเขาก็ยังหาหลักฐาน ที่เป็นที่มีเหตุผลเพียงพอไม่ได้ ข้อพิสูจน์ที่ว่าพีระมิดแห่งกีซาทั้งสามหันไปทางยังเข็มขัดโอไรออนซึ่ง เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ต่างดาวที่เคยมาเยือนโลกในสมัยโบราณนั้นยังคงเป็นได้เพียงสมมติฐานเท่านั้น โดยมีตำนานเล่าว่า นานมาแล้วนักบินอวกาศจากดวงดาวอันไกลโพ้นได้มาถึงโลกของเรา ปักหลักอยู่อาศัย ได้พบปะมนุษย์โลก และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆให้ จนกลายเป็นพีระมิดในที่ต่างๆ ซึ่งเกิดการตีความกันไปในหลายทางว่า ความหมายที่แท้จริงของพีระมิดคืออะไรกันแน่ บางคนบอกว่า เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นจุดสังเกตสำหรับยานอวกาศเวลาขึ้นลง